บทเรียนว่ายน้ำสำหรับเด็ก... หนู ๆ แต่ละวัยทำอะไรได้บ้างและกิจกรรมเพื่อความสนุกสุด ๆ
อายุ 6 ถึง 18 เดือน
เด็กสามารถ: สำรวจและทำตัวให้คุ้นเคยกับน้ำมากขึ้น เตะขาและวาดแขนได้ในระดับพื้นฐาน และเริ่มสนุกกับการลอยตัว ปล่อยฟองอากาศ เปลี่ยนทิศทาง รวมทั้งขึ้นและลงจากน้ำได้ (ถ้ามีคนช่วย)
เรียนยังไงให้สนุก: เริ่มด้วยการที่คุณลงน้ำไปก่อน แล้วค่อยให้เด็กเรียนรู้ว่าคุณกำลังเรียกเขาลงน้ำ เช่น นับ “1-2-3-4” หรือ “เตรียมตัว ระวัง ไป” และใช้คำซ้ำทุกครั้ง ร้องเพลง (เช่น พาย พาย พายเรือกันกันไป) ให้เด็กฟังเวลาสอนทักษะใหม่ๆ เช่น การลองตัวหรือการลองเตะขา ใส่จังหว่ะให้เข้ากับกิจกรรมจะช่วยให้เด็กจำได้มากขึ้นว่าต้องทำอะไร
ต้องพึงระวังว่า: การเรียนว่ายน้ำคือการสำรวจโลกในน้ำด้วยกัน ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มเรียน คือ หลังเด็กอายุครบ 6 เดือน คอนนี ฮาร์วีย์ ผู้เชี่ยวชาญกิจกรรมทางน้ำจากสภากาชาดสหรัฐระบุ คุณต้องเรียนรู้การดูแลเด็กในน้ำและสร้างรากฐานในการว่ายน้ำกับเขา โดยในแต่ละชั้นเรียน ไม่ควรมีคู่เรียนเกิน 10-15 คู่
และอย่าลืมใส่ผ้าอ้อมสำหรับว่ายน้ำให้กับลูกของคุณด้วย
เด็กสามารถ: ต่อยอดทักษะที่ต้องใช้ในการว่ายน้ำ เช่น การเคลื่อนไหวของแขนและการเตะขา การขึ้นลงจากสระว่ายน้ำด้วยบันได (โดยเฉพาะเมื่ออายุใกล้ 3 ขวบ) หัดกลั้นหายใจ เอาหัวลงใต้น้ำ และกระโดดลงน้ำไปพร้อมกับคุณ
เรียนยังไงให้สนุก: เพื่อฝึกดำน้ำ ลองหัดให้ลูกของคุณก้มลงไปเก็บแหวนพลาสติกหรือของเล่นที่อยู่ก้นสระว่ายน้ำเด็ก หรือลองโยนของเล่นที่ลอยน้ำได้ เพื่อหัดให้เด็กเก็บของหรือดึงของเข้าหาตัว “กิจกรรมนี้สอนให้เด็กเข้าใจการเคลื่อนไหวของแขนขั้นพื้นฐาน เพื่อต่อยอดในการตีวงแขนว่ายน้ำ” เบธ เมเยอร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านกิจกรรมทางน้ำจาก YMCA สาขาในเมืองเบิร์คลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุ เด็ก ๆ อาจจะอยากลองเป็นรถไฟและขยับไปตามรางตรงขอบสระว่ายน้ำ คุณจะลองสอนให้เขาไถลไปตามขอบสระดูก็ได้
ต้องพึงระวังว่า: ไม่ว่าจะส่งลูกไปเรียนคลาสไหน ก็ควรอยู่กับลูกเสมอ -- การเรียนว่ายน้ำอย่างจริงจังสามารถเริ่มต้นทีหลังได้ และแม้ว่าลูกว่ายน้ำได้อิสระแล้ว ก็ไม่ควรอยู่ห่างจากลูกเกิน 1 ช่วงแขนโดยเด็ดขาด
และอย่าลืมผ้าอ้อมสำหรับว่ายน้ำ!
อายุ 3 ถึง 5 ปี
เด็กสามารถ: หัดลอยตัวเหนือผิวน้ำแบบแหงนหน้าและคว่ำหน้า ผลิกตัว ใช้แขนและขาในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือกระโดดในน้ำ
เรียนยังไงให้สนุก: ลองหัดให้ลูกของคุณเลียนแบบพฤติกรรมเพื่อฝึกทักษะ เช่น การเป่าฟองอากาศและเตะขา ลองให้ลูกหัดเล่นเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลาโลมา งู หรือจิงโจ้ ฝึกเล่นไฟเขียว-ไฟแดง (เช่น ให้ลูกเกาะอยู่ที่ขอบสระจนกว่าจะมีสัญญาณไฟเขียว) เพื่อฝึกทักษะการว่ายน้ำและการฟัง
ต้องพึงระวังว่า: ถ้าอยากให้ลูกหัดเรียนว่ายน้ำ วัยนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถปล่อยลูกไว้คนเดียวได้แล้ว แม้ว่าลูกจะเคยหรือไม่เคยเรียนว่ายน้ำพร้อมกับคุณ ลองพูดคุยกับลูกก่อน เพื่อให้ลูกเตรียมตัว และเลือกคลาสที่มีเด็กเรียนด้วยกันไม่เกิน 6 คนต่อครู 1 คน
อย่าปล่อยให้ลูกวิ่งเล่นริมสระ; สอนลูกว่าอย่าไปวิ่งเล่นบริเวณนั้น ยกเว้นว่าจะมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
อายุ 5 ปีขึ้นไป
เด็กสามารถ: หัดทำกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมกัน (ขยับแขนและขาให้สอดคล้องกันและฝึกหายใจ) เพื่อเริ่มสโตรคการว่ายน้ำอย่างจริงจัง กระโดดและฝึกดำน้ำ ฝึกทักษะการลอยตัวและออกตัวในน้ำ
เรียนยังไงให้สนุก: แอบนำเหรียญไปใส่ไว้ในไข่พลาสติกสีและฝึกให้ลูกว่ายน้ำไปเก็บ หรือหัดให้ลูกฝึกออกตัวเหมือนจรวดจากริมขอบสระ ส่งเสริมให้ลูกหัดตีลังกาใต้น้ำ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับตัวในการว่าย
ต้องพึงระวังว่า: หากคุณกำลังมองหาคลาสเรียนให้ลูกอยู่ ต้องระลึกไว้เสมอว่า คลาสเรียนที่ดีที่สุดคือคลาสที่มีนักเรียนไม่เกิน 6 คน ทบทวนกติกาด้านความปลอดภัยของสระว่ายน้ำกับลูกทุกครั้ง เพราะกฎระเบียบด้านความปลอดภัยสำคัญที่สุด และการเรียนว่ายน้ำเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยลูกของคุณจากการจมน้ำได้
ต้องทำอย่างไร: ที่สระว่ายน้ำ - ตรวจตราดูว่าเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตทำงานอยู่เสมอ และคุณต้องไม่อยู่ห่างลูกจนเกินไป เพื่อที่จะช่วยเหลือลูกได้ทันเวลามีเหตุฉุกเฉิน ที่ชายหาด - เชื่อฟังคำเตือนและป้ายต่าง ๆ จากเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตทุกครั้ง และเมื่อว่ายน้ำกับเด็ก ต้องระวังไม่ให้ลงน้ำลึกเกินไป ที่บ้าน - อย่าปล่อยให้ลูกว่ายน้ำ ยกเว้นว่ามีผู้ใหญ่อยู่ด้วยและจับตาดูอย่างใกล้ชิด รวมทั้งทำรั้วสระว่ายน้ำให้มิดชิดที่ความสูงอย่างน้อย 4 ฟุต
แล้วของเล่นในน้ำล่ะ?
“มองอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่าง ๆ ให้เป็นของเล่น” คอนนี ฮาร์วีย์ จากสภากาชาดระบุ โดยก่อนที่จะให้ลูกเข้าเรียนว่ายน้ำ ลองเชคดูก่อนว่าครูผู้สอนผ่านการฝึกและมีใบประกาศหรือไม่ คอยสังเกตชั้นเรียนเพื่อดูว่าครูผู้สอนมีความกระตือรือร้นในการออกกฎระเบียบในการเรียนหรือไม่ และเด็กแต่ละคนได้ใช้เวลาในน้ำและช่วงเวลาเรียนตัวต่อตัวกับครูผู้สอนเยอะไหม นอกจากนี้ ครูผู้สอนยังควรเป็นคนที่มีความอดทนเพื่อให้เด็กได้มีเวลาเรียนรู้ด้วยตัวเอง และสังเกตด้วยว่าเด็ก ๆ สนุกกับการเรียนหรือไม่